ปรึกษาผลิตภัณฑ์กับเรา

ขอสู้สักตั้ง กับ มะเร็งต่อมน้ำลาย เรื่องราวของ คุณสมจิตร งามดี

15-May-2020     อ่าน : 1690 คน


    

     “มะเร็งต่อมน้ำลาย” เป็นมะเร็งชนิดหนึ่งซึ่งหลายคนอาจจะยังไม่ค่อยรู้จัก ทั้งที่จริงแล้วได้คร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก ดังนั้นการหมั่นสำรวจตัวเอง ถ้ามีก้อนที่บริเวณลำคอ ถึงแม้จะไม่มีอาการเจ็บ ก็ควรรีบไปหาแพทย์ตรวจโดยด่วน อย่าชะล่าใจเด็ดขาด เพราะท่านอาจจะไม่โชคดี เหมือนชีวิตของผู้หญิงคนนี้

     “วันที่ 12 มีนาคม 2546 เป็นวันที่ดิฉันต้องจดจำ และไม่คาดคิดว่าสิ่งที่จะเกิดกับตนเองได้เกิดขึ้น เมื่อตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดเนื้องอกต่อมน้ำลาย แต่ผลจากการตรวจชิ้นเนื้อ คุณหมอบอกว่าไม่ค่อยดี มีเซลล์มะเร็ง ซึ่งตัวเองก็แทบไม่เชื่อว่าเป็นมะเร็ง เนื่องจากที่บริเวณคอข้างหูคลำได้มีก้อนกลม ๆ ซึ่งเป็นมาประมาณ  7-8 ปีแล้ว ก็ไม่รู้สึกเจ็บปวดอะไร ก้อนโตประมาณ 2-3 ซม. เป็นมานาน”

     คุณสมจิตร งามดี  ข้าราชการสาวเมืองกรุงผู้ที่กำลังมีอนาคตไกล แต่เกือบจะต้องดับวูบไปเพราะ “มะเร็ง” วันนี้เธอจะเล่าเรื่องของเธอให้ฟัง ที่สำคัญเรื่องนี้เป็นอุทธาหรณ์อย่างดีสำหรับคนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่คร่ำเคร่งและเคร่งเครียดกับหน้าที่การงาน ซึ่งไม่ใช่ความผิด เพราะนั่นเป็นการทำเพื่ออนาคตที่ดีกว่า แต่ผลพวงที่เกิดขึ้นกลับทำให้เธอแทบเอาชีวิตไม่รอด

     ย้อนไปประมาณเดือนมิถุนายน 2544 ฉันได้ไปโรงพยาบาลให้คุณหมอตรวจว่าเป็นอะไร คุณหมอได้เจาะก้อนเนื้อไปตรวจ ผลออกมาว่าเป็น “เนื้องอกต่อมน้ำลาย” เป็นเนื้อดีไม่ใช้เนื้อร้าย คุณหมอได้แนะนำให้ผ่าตัดออกเสีย ฉันจึงตัดสินใจผ่าตัดเมื่อเดือนมีนาคม 2546 ดังกล่าว ผลจากการตรวจชิ้นเนื้อที่ผ่าตัด ไฉนกลับกลายเป็น “มะเร็ง” ร้ายไปได้

     ดิฉันมองย้อนดูตัวเอง คิดว่าไม่น่าจะเป็นมะเร็งได้เลย เนื่องจากดิฉันเป็นคนระมัดระวังเรื่องอาหารมาก จะรับประทานเนื้อสัตว์น้อยมาก ของย่างไหม้ ๆ เกรียม ๆ ก็จะไม่ค่อยรับประทานจะเขี่ยออก ผักผลไม้ก่อนรับประทานจะต้องล้างให้สะอาด ล้างแล้วล้างอีก ยังตั้งคำถามกับตัวเองว่า ระมัดระวังอย่างนี้แล้ว ทำไมถึงเป็นมะเร็งได้

     อย่างไรก็ตามเมื่อประมวลสิ่งต่าง ๆ เพื่อมองย้อนหาสาเหตุที่ทำให้ดิฉันเป็นมะเร็ง ซึ่งคิดว่าน่าจะมาจากความเครียด เนื่องจากมีอยู่ช่วงหนึ่งราวปลายปี 2544 หลังจากที่เจาะเนื้องอกไปตรวจแล้ว ประมาณ 4-5 เดือน ดิฉันเกิดความเครียดมาก ๆ จากที่ทำงาน  ทั้งปวดศีรษะ จนสมองแทบจะระเบิดก็ว่าได้ แล้วจู่ ๆ ก็หายไป

     ย้อนไปเหตุการณ์จากการผ่าตัดเมื่อเดือนมีนาคม 2546 และต้องพักรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 10 วัน ก่อนออกจากโรงพยาบาลคุณหมอแนะนำให้ไปพบหมอรังสี ดิฉันพยายามทำใจดีสู้เสือไว้ก่อน คุณหมอรังสีบอกกับดิฉันว่าจะต้องทำการฉายแสง 30 ครั้ง เพื่อหยุดยั้งไม่ให้เซลล์มะเร็งกระจายและไปกินเส้นประสาท

ดิฉันถามคุณหมอว่า “ดิฉันเป็นมะเร็งจริงหรือ ?”
คุณหมอบอกว่า “ใช่ ....เป็นมะเร็งต่อมน้ำลาย !”

     คำ ๆ นี้ทำให้หัวใจของฉันแทบไปตกอยู่ที่ตาตุ่ม พยายามอดกลั้นข่มจิตใจตนเองให้เข้มแข็งเข้าไว้ แล้วถามตัวเองว่าเราเป็นมะเร็งจริง ๆ หรือ ทั้ง ๆ ที่ครอบครัวก็ไม่เคยมีประวัติใครเป็นมาก่อน ดิฉันเสียใจอยู่ต่อหน้าคุณหมอประมาณ 5-6 นาที ตอนนั้นคุณหมอพูดอะไรก็ฟังไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว เพราะหูอื้อไปหมด หลังจากตั้งสติได้คุณหมอจึงนัดให้ดิฉันมาทำการฉายแสงอีกประมาณ 1 เดือน เพื่อรอให้แผลที่ผ่าตัดหายดีก่อน

     หลังจากออกจากโรงพยาบาลและพักฟื้นประมาณ 1 สัปดาห์ ดิฉันก็มาทำงานตามปกติ ดิฉันมีอาชีพรับราชการ พยายามทำจิตใจให้เข้มแข็งไม่พูดถึงมัน  ไม่คิดถึงมัน (มะเร็ง) และพยายามไม่ให้พ่อแม่รู้อะไรมากนัก เพราะดิฉันทราบดีว่า ขนาดตัวผู้ป่วยรู้ว่าตัวเองเป็นมะเร็งยังเสียใจแทบแย่ ถ้าพ่อแม่รู้ว่าลูกสาวเป็นมะเร็ง พ่อแม่จะเสียใจและเจ็บปวดแค่ไหน

     ดิฉันไม่อยากให้พ่อแม่กลุ้มใจและเครียดมากนัก เนื่องจากท่านอายุมากแล้ว โดยจะบอกเพียงว่าไม่เป็นอะไรมาก แต่ถึงกระนั้นดู ๆ พ่อแม่ก็กลุ้มใจมากเหมือนกันขนาดไม่รู้อะไรมา ส่วนมากญาติผู้ป่วยจะปิดบังผู้ป่วยไม่ให้รู้ว่าเป็นอะไร แต่สำหรับดิฉันแล้วนั้นไม่อยากให้พ่อแม่พี่น้องต้องมากลุ้มใจเป็นกังวลมาก แต่พี่น้องก็ยังเป็นห่วงอยู่ดี ตัวดิฉันเองยอมรับสภาพได้ และคิดว่าคงจะไม่ไปนั่งกลุ้มใจ เสียใจ เพราะไม่มีประโยชน์อะไร สู้ทำจิตใจให้สงบแล้วลองสู้กับมันสักตั้งจะดีกว่า อย่าไปยอมแพ้

     หลังจากที่ดิฉันไปทำงานแล้ว จึงรีบไปที่ร้านหนังสือเพื่อหาซื้อหนังสือที่จะให้ความรู้เกี่ยวกับโรคมะเร็ง หรือวิธีการรักษา แล้วก็พบหนังสือชื่อ “100 เรื่องจริงของผู้พิชิตโรคมะเร็ง” ดิฉันรีบมาซื้ออ่านทันที แล้วพบข้อมูลว่าผู้ป่วยแต่ละคนที่มีอาการดีขึ้นต่างก็ได้รับประทานยาสมุนไพรจีน

     ดิฉันพยายามหาข้อมูล และติดต่อขอซื้อยา เพื่อจะได้รีบรับประทานก่อนการฉายแสง  เพื่อช่วยลดผลข้างเคียง  โดยรับประทานยาทั้ง 2 อย่างควบคู่กันจนการฉายแสงครบ 30 ครั้ง และยังรับประทานยาน้ำเทียนเซียนอยู่จนถึงปัจจุบัน

     ผลจากการฉายแสงที่บริเวณหน้าใกล้คอ ทำให้ลิ้นการรับรสเสียไป เยื่อบุในช่องปากอักเสบ ทานอาหารได้น้อยมาก เนื่องจากเจ็บปาก กลืนกินอาหารลำบาก ผลไม้ทานแทบไม่ได้เลย ดิฉันทานอาหารอะไรไม่ได้เลยนอกจากโจ๊ก เป็นเวลาเกือบ 2 เดือน แต่ก็ยังมีแรงที่สามารถไปทำงานได้อยู่ทุกวัน ทั้ง ๆ ที่ไม่ค่อยได้ทานอะไรมากนัก ดิฉันคิดว่าเป็นผลของยาจีน และระหว่างการฉายแสงก็ไม่มีอาการอะไรมากนอกจากผมร่วงบ้างเล็กน้อยบริเวณที่ฉายแสง

     ดิฉันคิดว่ายาจีนมีส่วนช่วยฟื้นฟูสุขภาพของดิฉันอย่างมาก เพราะดิฉันก็ยังทำงานเหมือนปกติ บางครั้งก็ทำงานจนลืมไปว่าไม่สบาย เวลาทำงานก็จะทุ่มเทให้กับงาน อาจจะมากกว่าคนปกติเสียด้วยซ้ำ แต่ดิฉันก็ยังมีความหวังว่ายาสมุนไพรจีนที่ดิฉันรับประทานอยู่นี้ คงจะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงดียิ่งขึ้น และหายป่วยจากโรคมะเร็ง เพราะปัจจุบันนี้ดิฉันพยายามจะให้ลืมว่าดิฉันเป็นโรค...... ดิฉันทำตัวเหมือนคนปกติ

     นี่คือตัวอย่างหนึ่งของการเป็นโรคมะเร็งร้าย ซึ่งมีสาเหตุมาจาก “ความเครียด” ซึ่งผู้คนในยุคปัจจุบันกำลังเผชิญกันอย่างมาก จากปัญหานานาชนิดรอบตัว ทั้งปัญหาภายในและปัญหาภายนอก เป็นอุทธาหรณ์ให้ทุกท่านได้ปฏิบัติตัว แต่ที่เหนือสิ่งอื่นใดคือกำลังใจ ดั่งที่เธอบอกว่า “ขอสู้สักตั้ง” เพราะเมื่อรู้ว่าเป็นมะเร็งแล้วถอดใจไม่สู้เท่ากับว่าได้เพิ่มโอกาสในการแพร่ขยายของโรคมะเร็ง

ปรึกษาผลิตภัณฑ์

กรุณากรอกแบบฟอร์ม เจ้าหน้าที่จะติดต่อกลับภายใน 24 ชั่วโมง

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

Tag ที่เกี่ยวข้อง

ยาน้ำเทียนเซียน สมุนไพรจีน มะเร็งต่อมน้ำลาย

รีวิวผู้ใช้

มะเร็งกับการรักษา

มะเร็งกับการดูแล

บริษัท เฟยดา จำกัด

โดยตั้งแต่ปี 1998 บริษัท เฟยดา จำกัด สาขาประจำประเทศไทย เริ่มดำเนินงานนำเข้า และเป็นตัวแทนจำหน่ายสมุนไพรเทียนเซียนแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย

อ่านต่อ >>

ผลิตภัณฑ์ของเรา

ยาน้ำเทียนเซียน

เอ็กซ์แทร็คท์ พลัส

นิทรา เฮอร์เบิล ฟุทโซค

ติดต่อเรา

02-264-2217,02-264-2218,
02-264-2219
เวลาทำการ 08.30 น.-17.00 น.
[email protected]
213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 สุขุมวิท 21 คลองเตยเหนือ วัฒนา กรุงเทพ 10110

Copyright © 2020 บริษัท เฟยดา จำกัด. All rights reserved.