14-Nov-2023 อ่าน : 601 คน
สิ่งที่ได้เรียนรู้เมื่อเป็นมะเร็งเต้านมมา 20 ปี
ดิฉัน สุชาดา สังข์เจริญ เป็นคนดูแลสุขภาพอยู่เสมอด้วยการออกกำลังกาย วิ่ง หรือ เล่นโยคะ และพักผ่อนเดินทางท่องเที่ยวต่างจังหวัดเป็นครั้งคราว รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ หลีกเลี่ยงของหมักดอง และอาหารใส่สี สารเคมีต่างๆ นอกจากนี้ยังเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปีทุกปี การกระทำเหล่านี้น่าจะเป็นการป้องกันโรคร้ายได้อย่างดี แต่ทุกสิ่งล้วนไม่มีความแน่นอน
ดิฉันทำงานในวันจันทร์ถึงวันศุกร์ และวันเสาร์-อาทิตย์ จะเป็นอาจารย์สอนพิเศษในมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง โดยต้องตื่นแต่เช้าเดินทางไปสอน ดิฉันชอบและรักการสอนเพราะเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้ตนเอง และพบกับผู้เรียนที่มีบรรยากาศการสอนที่ดี ดิฉันสอนพิเศษเป็นเวลาหนึ่งโดยไม่คิดว่าการเตรียมการสอน การสอนให้ทันเวลาครบเนื้อหา โดยบางครั้งมีสอนพิเศษเพิ่มเติมเป็นเรื่องเคร่งเครียดอะไร หลังการสอนเสร็จก็หาอาหารอร่อยทาน พักผ่อน และกลับทำงานในวันปกติ ผลการตรวจสุขภาพประจำปีมีระดับน้ำตาล ไขมัน และความดันปกติ แต่มีอาการอื่น เช่น ปวดหลัง และมีก้อนซีสต์ที่เต้านม แต่ดิฉันไม่ได้กังวลใจใดๆ เมื่อพบก้อนซีสต์ก็ไปหาแพทย์เจาะดูดน้ำจากก้อนซีสต์ เพื่อวิเคราะห์และนัดฟังผลหลายครั้งทั้งสองข้างสลับกัน และผ่าก้อนซีสต์ออกหลายครั้ง
ดิฉันไม่คิดว่าที่ตนเองเป็นก้อนซีสต์บ่อยครั้งไม่น่าจะเป็นอันตราย จนเป็นเหตุที่มาของประสบการณ์ชีวิตที่มีค่ายิ่งในครั้งนี้
ไม่ว่าจะมีสิ่งใดเป็นสาเหตุในทางวิชาการ กล่าวว่า อาจเกิดจากยีนส์ พันธุกรรม ฮอร์โมน การปนเปื้อนของสารเคมีต่างๆในอาหารที่มีมากขึ้น และ พบบ่อยครั้งในปัจจุบัน ความเครียดของร่างกาย หรือ เกิดจากสิ่งใด ๆ อื่น ๆ แต่ในทางธรรมมะถือว่าเป็นเรื่องกฎของกรรม สำหรับดิฉันไม่กล่าวหาสิ่งใด ในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 เป็นช่วงที่รับการตรวจสุขภาพร่างกายดี ดิฉันตรวจด้วยตนเองพบก้อนเนื้อที่เต้านมข้างขวาเท่าเม็ดถั่วเขียว จึงได้รับการเจาะดูดน้ำจากก้อนเนื้อไปตรวจ เมื่อไปฟังผลแพทย์แจ้งว่าขอเจาะตรวจอีกครั้งหนึ่ง โดยแจ้งว่า การตรวจครั้งที่แล้วได้จำนวนเซลล์ไม่เพียงพอ เมื่อฟังผลครั้งที่ 2 แพทย์ขอตัดชิ้นเนื้อไปตรวจ จังหวะนั้นก้อนที่คลำเจอตรงฐานหัวนมได้เลื่อนขึ้นมาอยู่ด้านบน แพทย์ผู้ตรวจได้ทำการผ่าทันที และนัดฟังผลในอีก 1 สัปดาห์ โดยในวันฟังผลแพทย์ขอนัดผ่าตัดด่วนภายใน 2 สัปดาห์ ดิฉันตกใจ และ ขอเลื่อนการผ่าตัดออกไป โดยขอเคลียร์เรื่องการสอนให้เรียบร้อยก่อน แต่แพทย์ไม่อนุญาต และ ให้ผ่าตัดด่วน และ ต้องให้ยาเคมีด้วย
วันที่ 26 มีนาคม 2543 ดิฉันเข้ารับการผ่าตัด ดิฉันแข็งแรงดีทานอาหารได้ แผลมีน้ำเหลืองน้อย และแห้งเร็ว ทางโรงพยาบาลมีกิจกรรมสันทนาการให้ผู้ป่วยฟังการบรรยายและทำกาบบริหารหลังผ่าตัด โดยดิฉันมีเพื่อนที่เข้ารับการผ่าตัดพร้อมๆกันหลายคน ทุกคนให้ความรู้ แลกเปลี่ยน พูดคุยกันในเรื่องของยา การรักษาสุขภาพ อาหารเสริม และ สมุนไพรต่างๆ
หลังผ่าตัด 1 สัปดาห์ ดิฉันกลับบ้านเพื่อพักฟื้น และเริ่มดูแลสุขภาพและอาหารตามที่แพทย์สั่ง โดยต้องเข้ารับยาเคมีบำบัดจำนวน 4 ครั้ง ซึ่งน้อยที่สุดในจำนวนผู้ป่วยที่ผ่าตัดด้วยกัน เนื่องจากก้อนเนื้อมีขนาด 1.5 ซ.ม อยู่ในระยะที่ 1 และไม่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง ก่อนเข้ารับยาเคมีบำบัดดิฉันเตรียมทั้งกายและใจดังนี้ เตรียมกาย คือ รับประทานอาหารที่เป็นประโยชน์เพื่อเพิ่มพลังงาน และสมุนไพรจีนเพื่อมิให้ร่างกายมีอาการอ่อนเพลีย ออกกำลังกายโดยการวิ่งและเดินทุกวัน และการเตรียมกาย คือยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่โทษสิ่งใด ใช้ธรรมะและสวดมนต์ในช่วงที่ได้รับยาเคมีบำบัด และ ก่อนนอนทุกวัน รวมทั้งการให้กำลังใจตนเอง อดทนในการเข้ารับการรักษา แม้จะน่ากลัวและหวั่นใจอยู่ไม่น้อย
การได้รับยาเคมีบำบัดใช้เวลา 3-4 เดือน เนื่องจากหลังจากให้ยาเคมีบำบัดครั้งที่ 3 ดิฉันได้ปรับเปลี่ยนไปรับประทานอาหารมังสวิรัติ ทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและติดเชื้อ แต่ดิฉันยังโชคดีคือได้มีเพื่อนซึ่งไม่ได้พบเจอกันนานแล้วได้มาเยี่ยมที่บ้าน และเห็นว่าดิฉันมีอาการอ่อนเพลีย จึงแนะนำให้ไปหาแพทย์ที่คลินิกเพื่อให้น้ำเกลือ แต่ไม่มีคลินิกใดรับดิฉันไว้ และ แนะนำให้ไปพบแพทย์ยังโรงพยาบาลที่ทำการผ่าตัด เพื่อนจึงได้พาดิฉันมายังโรงพยาบาลโดยแพทย์สั่งนอนโรงพยาบาลทันที โดยให้อยู่ในห้องปลอดเชื้อ ให้ยาเพิ่มเกร็ดเลือด สั่งให้บ้วนน้ำเกลือทุกชั่วโมงเพื่อฆ่าเชื้อ และ ให้ยาชาที่ลิ้นก่อนทานอาหารเนื่องจากมีอาการเจ็บมากและสั่งอาหารเย็นในวันนั้น เป็นโจ๊กปั่นค่ะ (ซึ่งดิฉันคิดในใจว่าขนาดโจ๊กยังปั่นแล้วจะเหลืออะไร) ดิฉันได้เข้ารับการรักษาประมาณ 1 สัปดาห์ จึงกลับบ้าน จากเหตุการณ์นี้ดิฉันจึงกลับมารับประทานอาหารปกติและตั้งใจว่าเมื่อได้รับยาเคมีบำบัดครบแล้ว จึงจะรับประทานอาหารมังสะวิรัติต่อไป การเข้ารับยาเคมีบำบัดเข็มสุดท้ายเป็นไปได้ด้วยดี หลังจากนั้นร่างกายดิฉันกลับเข้าสู่ปกติ ผมเริ่มยาวขึ้น และ ร่างกายสดใส
การป่วยและการรักษาอาการป่วยในครั้งนี้ มิใช่เป็นการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายเท่านั้น แต่ดิฉันคิดว่าได้มีการเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจด้วย ทำให้ได้เรียนรู้ เข้าใจ และได้ประสบการณ์ในครั้งนี้หลายประการ
สิ่งแรก ดิฉันเข้าใจหลักธรรมชาติของชีวิตมากขึ้น เดิมที่เคยใส่บาตรในทุกวันเกิดของแต่ละสัปดาห์ สวดมนต์ และทำบุญตามเทศกาลบ้าง ประสบการณ์ครั้งนี้ ดิฉันเห็นว่า การทำบุญเป็นเรื่องที่ควรกระทำให้มากขึ้น และ สะสมไว้ในช่วงเวลาที่เหลือของชีวิต การป่วยทำให้เข้าถึงธรรมมะได้เร็วขึ้น ในเรื่องของการ เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นธรรมชาติที่ทุกคนจะได้รับเหมือนเท่าเทียมกัน คนที่ไม่เจ็บ ไม่แก่ ก็อาจจะถึงความตายได้ การป่วยเป็นโรคร้ายมิใช่ว่าจะเสียชีวิตในทันทีเสมอไป
สิ่งที่สอง ดิฉันสนใจกฎแห่งกรรม และเห็นใจชีวิตของสัตว์โลกทุกชีวิตมากขึ้น หลักคำสอนของพระพุทธเจ้า หนึ่งในศีลห้า คือ การไม่ฆ่าเบียดเบียนชีวิตสัตว์ ทุกชีวิตรักตนเอง ไม่อยากเจ็บป่วยหรือตาย ถ้าเราไม่เบียดเบียนชีวิตสัตว์ แม้จะตัวเล็กตัวน้อย ก็จะทำให้เราสุขใจและมีสุขภาพดี
สิ่งที่สาม ดิฉันใฝ่เรียนรู้และฟังคำสอนของพุทธศาสนามากขึ้น ความโลภอยากได้ในสิ่งต่างๆล้วนเป็นทุกข์ ดิฉันลดความอยากได้ในสิ่งต่างๆที่ไม่จำเป็น เช่น เสื้อผ้า เครื่องใช้ และ เครื่องประดับลดลง และ เริ่มใช้ชีวิตแบบพอเพียง อาหารก็ได้ปรับเปลี่ยนมารับประทานสิ่งที่เป็นประโยชน์มากขึ้น ไม่ติดในรสชาติความอร่อย โดยทำอาหารทานเอง
สิ่งที่สี่ ดิฉันดูแลจนเองและพักผ่อนมากขึ้น เลิกการสอนพิเศษ ลดความเครียดในการทำงาน คิดในสิ่งที่ดีในด้านบวก และเห็นว่าการใช้ชีวิตในทางสายกลางเป็นหนทางที่มีความสุขอย่างยิ่งและแท้จริง
สิ่งที่ห้า ดิฉันรับรู้ถึงความห่วงใยของบุคคลในครอบครัวมากขึ้น ทุกคนเป็นห่วงโดยให้สติและกำลังใจ คุณพ่อชวนนั่งสมาธิแผ่บุญกุศลให้ท่านเจ้ากรรมนายเวร คุณแม่สวดมนต์ขอให้คุณพระคุ้มครองให้หายเร็ว พี่สาว พี่สะใภ้ ให้ความรู้เรื่องการปฏิบัติตัวและทำอาหารอร่อยมาให้ทาน พี่ๆน้องๆ เพื่อนที่ทำงานมอบและให้สิ่งที่ดีซึ่งเป็นสิ่งที่ดีที่ไม่อาจลืมได้ และรวมถึงคุณหมอ พยาบาลทุกท่านด้วย จากประสบการณ์ครั้งนี้บอกดิฉันว่า “กำลังใจ เป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด” ที่ผู้ป่วยควรมีและได้รับจากครอบครัว หรือ สร้างขึ้นมาให้กับตนเองดังคำกล่าวว่า “ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตน” สำหรับการสร้างกำลังใจให้ตนเองของดิฉันคือ การป่วยในช่วงที่มีอายุไม่มากและช่วยเหลือตัวเองได้เป็นสิ่งที่ดี ใช้คติธรรมสอนใจ คิดในสิ่งที่ดี เป็นกลาง ไม่โทษผู้ใดหรือสิ่งใด ทำใจให้สงบอยู่กับปัจจุบัน โดยการสวดมนต์และนั่งสมาธิ รวมทั้งการแลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์จากผู้ป่วยท่านอื่นนำมาปรับใช้
ประการสุดท้าย ดิฉันคิดว่าสังคมต่างให้การดูแล และ ช่วยเหลือ รวมทั้งแบ่งปันสิ่งดีๆให้แก่กัน สิ่งที่ดิฉันได้รับจากการป่วย ตั้งใจว่าจะทำตัวให้เป็นประโยชน์แก่ผู้ป่วยโดยให้คำแนะนำและความรู้มากขึ้น รวมทั้งประสบการณ์ของตนเองแก่ผู้ป่วยและญาติให้คลายความทุกข์ใจ แม้ในปะจจุบันจะสามารถค้นคว้าได้ทางสื่อออนไลน์แต่ดิฉันเห็นว่า การเติมพลังใจ / กำลังใจให้เข็มแข็ง จะช่วยให้ท่านได้ต่อสู้และผ่านพ้นวิกฤตต่าง ๆ ไปได้ด้วยดี ขอให้ทุกท่านโชคดีค่ะ
โดยตั้งแต่ปี 1998 บริษัท เฟยดา จำกัด สาขาประจำประเทศไทย เริ่มดำเนินงานนำเข้า และเป็นตัวแทนจำหน่ายสมุนไพรเทียนเซียนแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย
อ่านต่อ >>
ยาน้ำเทียนเซียน
เอ็กซ์แทร็คท์ พลัส
นิทรา เฮอร์เบิล ฟุทโซค
02-264-2217,02-264-2218,
02-264-2219
เวลาทำการ 08.30 น.-17.00 น.
[email protected]
213/5 อาคารอโศกทาวเวอร์ ชั้น 6 สุขุมวิท 21 คลองเตยเหนือ วัฒนา กรุงเทพ 10110