เอชไพโลไร (H. Pylori) กับมะเร็งกระเพาะอาหาร: ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

01-Jul-2022 อ่าน : 250 คน

เอชไพโลไร (H. Pylori) กับมะเร็งกระเพาะอาหาร: ภัยเงียบที่ไม่ควรมองข้าม

เอชไพโลไร (H. Pylori) แบคทีเรียตัวจิ๋วที่อาศัยอยู่ในกระเพาะอาหารของมนุษย์ หลายคนอาจคุ้นเคยกับชื่อนี้ในฐานะสาเหตุของโรคกระเพาะอาหาร แต่ทราบหรือไม่ว่า เชื้อตัวนี้ยังมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับ มะเร็งกระเพาะอาหาร โรคร้ายแรงที่คร่าชีวิตผู้คนมากมาย

เอชไพโลไร กับความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร

งานวิจัยทางการแพทย์ยืนยันว่า การติดเชื้อเอชไพโลไรเรื้อรัง เป็น ปัจจัยเสี่ยงอันดับต้น ๆ ของการเกิดมะเร็งกระเพาะอาหาร โดยผู้ติดเชื้อจะมีความเสี่ยงสูงขึ้นถึง 2-6 เท่า เมื่อเทียบกับผู้ที่ไม่มีเชื้อ

กลไกที่เอชไพโลไรเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งกระเพาะอาหาร

การกระตุ้นการอักเสบเรื้อรัง: เอชไพโลไรสร้างสารพิษที่ทำลายเยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร กระตุ้นให้เกิดการอักเสบเรื้อรัง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของกระบวนการกลายเป็นมะเร็ง
การเปลี่ยนแปลง DNA: เอชไพโลไรอาจส่งผลต่อ DNA ของเซลล์เยื่อบุผิวกระเพาะอาหาร ทำให้เกิดการกลายพันธุ์ นำไปสู่เซลล์มะเร็ง
การส่งเสริมการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง: เอชไพโลไรกระตุ้นให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโตและแพร่กระจายได้เร็วขึ้น

สัญญาณเตือนของมะเร็งกระเพาะอาหาร

ปวดท้องเรื้อรัง
แสบร้อนกลางอก
เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
น้ำหนักลด
กลืนอาหารลำบาก
อ่อนเพลีย โลหิตจาง

การวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหาร

แพทย์จะวินิจฉัยมะเร็งกระเพาะอาหารด้วยวิธีต่าง ๆ ดังนี้

การตรวจเลือด
การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร
การตรวจชิ้นเนื้อ

การรักษามะเร็งกระเพาะอาหาร

การรักษามะเร็งกระเพาะอาหารขึ้นอยู่กับระยะของโรค โดยทั่วไปแล้ว วิธีการรักษาหลัก ๆ ประกอบด้วย

การผ่าตัด
รังสีบำบัด
เคมีบำบัด

การป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหาร

การป้องกันมะเร็งกระเพาะอาหารที่ดีที่สุดคือ การกำจัดเชื้อเอชไพโลไร โดยผู้ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น ญาติใกล้ชิดเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร ควรได้รับการตรวจหาเชื้อเอชไพโลไรและรักษาหากพบเชื้อ

นอกจากนี้ ยังมีวิธีการป้องกันอื่น ๆ ดังนี้

รักษาสุขอนามัยส่วนตัวให้สะอาด
ทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่
ดื่มน้ำสะอาด
หลีกเลี่ยงการใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
เลิกสูบบุหรี่
จำกัดการดื่มแอลกอฮอล์

บทสรุป

เอชไพโลไรเป็นแบคทีเรียที่ส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพ การติดเชื้อเรื้อรังอาจนำไปสู่มะเร็งกระเพาะอาหาร ดังนั้น การป้องกันและรักษาการติดเชื้อเอชไพโลไรอย่างทันท่วงที จึงเป็นกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงมะเร็งร้ายนี้